วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Mobile Phone Series - ซื้อมือถือใหม่ทำไมต้องชาร์จแบตฯ8-16ชั่วโมง

ตอนที่ไปซื้อมือถือตามร้านต่างๆ ทั้งร้านตู้ ทั้งศูนย์ พนักงานที่มีความใส่ใจต่อลูกมักจะมีคำแนะนำแก่ลูกค้า หนึ่งในคำแนะนำที่ได้ยินบ่อยๆคือ อย่าลืมกลับชาร์จแบตเตอรี่ 16 ชั่วโมงก่อนใช้นะคะ บางร้านก็บอกชาร์จ 8 ชั่วโมง ผู้ใช้เลยไม่แน่ใจว่ากี่ชั่วโมง เพราะแต่ละร้านบอกไม่เหมือนกัน บางทีก็ถามกลับไปอีกว่า ต้องปิดเครื่องไหมเวลาชาร์จ แล้วควรจะทำอย่างไรดี
ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่า Battery ที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือนั้น จะเรียกชื่อประเภทตามของวัสดุที่ใช้ผลิตตัวอย่าง
  1. Ni-Cd ใช้สาร นิเกิล กับ แคดเมี่ยม เป็นหลัก 
  2. Ni-MH ใช้สาร นิเกิล กับ โละหะหนัก (Metal Hydride)
  3. Li-ion ใช้สาร ลิเธียม ไอออน
  4. Li-Poly ใช้สาร ลิเธียม โพลีเมอร์
รายละเอียดแต่ละประเภทจะขอยังไม่กล่าวถึงนะครับ เอาเป็นว่าในปัจจุบัน Battery แท้ ที่มากับเครื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทที่ 3  คือ Li-ion มากที่สุด นอกนั้นก็เป็น ประเภทที่ 4 อาจจะมีอยู่บ้างที่ใช้ประเภทที่ 2 แต่น้อยมาก ส่วนประเภทที่ 1 นั้นไม่น่าจะมีแถมมาพร้อมเครื่องแล้ว เพราะเป็นประเภทเดียวใน 4 ประเภทนี้ที่มี Memory Effect (ต้องใช้ให้หมดก่อนแล้วค่อยชาร์จ มิฉะนั้นแบตฯจะเสื่อมไวกว่าปกติ)

ขอท้าวความนิดนึงก่อนนะครับ เพื่อความกระจ่าง เมื่อก่อนโทรศัพท์มือถือจะใช้แบตฯที่มี Memory Effect จึงมักจะมีอุปกรณ์อีกอย่างมาให้ หรือให้ซื้อเพิ่ม ซึ่งมือถือในรุ่นปัจจุบันมักจะไม่ค่อยเห็นแล้ว หรือมีก็จะไม่มีปุ่มการทำงานที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับแบตเตอรรี่รุ่นเก่าที่มี Memory Effect คือปุ่ม Discharge หรือปุ่มคายประจุ คือหากต้องการชาร์จไฟตอนแบตฯไม่หมดก็วางลงบนแท่นชาร์จมีทั้งแบบช่องวางใส่พร้อมเครื่อง หรือช่องใส่แบตต่างหาก เพื่อที่จะคายประจุออกก่อนที่จะได้ทำการชาร์จ แบตฯก็จะไม่เสื่อมไว อุปกรณ์ที่ว่านี้ เรียกว่า Charging Stand หรือ แท่นชาร์จ นั่นเอง

ดังนั้นในสมัยก่อน(เหมือนนานมาก)10กว่าปีที่แล้ว จึงมักบอกให้ลูกค้าชาร์จแบตฯ16ชั่วโมงก่อนใช้งาน(ซึ่งจริงๆก็คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น เอาแค่ว่าชาร์จให้เต็มที่ จากแท่นชาร์จไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว(เต็มแล้ว)อีกสักพักค่อยเอาออก  เมื่อก่อนใช้เวลาชาร์จประมาณ 3-4 ชั่วโมงจึงเต็มจึงมักมีแบตให้ลูกค้า2ก้อน (ก้อนนึงใส่เครื่องใช้ อีกก้อนก็ชาร์จไฟสำรองไว้ พอหมดก็เปลี่ยนสลับก้อนกัน) ปัจจุบันใช้เวลาชาร์จ 1-2 ชั่วโมง

อายุการใช้งานแบตเตอรี่นั้น ไม่ได้นับตามเวลานะครับ นับตามจำนวนรอบในการชาร์จนั่นเอง(บางคนเรียกจำนวนรอบในการใช้งาน นั่นคือ ชาร์จแล้วเอาไปใช้ นับเป็น 1รอบ) แปลตามภาษาชาวบ้านไม่ให้ปวดหัวเอาง่ายๆว่า ชาร์จเมื่อไหร่ นับ 1 ชาร์จอีกก็นับ 2 ไปเรื่อยๆ อายุการใช้งานก็จะประมาณ 400-600 รอบ จะเห็นได้ว่าเมื่อก่อนผู้ผลิตจะรับประกันแบตเตอรี้ 1 ปีเต็ม เนื่องจากว่าผู้ใช้มักจะชาร์จวันละครั้ง (1ปี=365วัน อายุการใช้งานแบตฯไม่เสื่อมแน่นอน) เนื่องจากเมื่อก่อนโทรศัพท์มือถือใช้โทรเข้าออกเป็นหลัก ไม่มีโปรแกรมทำอะไรอย่างอื่น จึงไม่ได้ใช้บ่อยเท่าปัจจุบันซึ่งเป็นได้ว่าผู้ใช้จะชาร์จแบตฯมากกว่าวันละ1ครั้ง ผู้ผลิตจึงลดระยะการรับประกันจาก 1 ปี เหลือ 6 เดือน ทุกยี่ห้อ (ชาร์จวันละ 2 ครั้ง 7-8 เดือนก็น่าจะเสื่อมแล้ว) ดังนั้นแบตฯของใครจะเสื่อมไวเสื่อมช้าขึ้นอยู่กับพฤติกรรมผู้ใช้ซะไปส่วนใหญ่ ใครชาร์จบ่อยก็เสื่อมไวเพราะรอบการใช้งานลดลงเร็ว บางคนใช้เป็นปีก็ยังใช้ได้อยู่ บางคนไม่ถึงปีก็ต้องซื้อใหม่แล้ว

คำแนะนำ สำหรับการชาร์จแบตฯ
  • แบตเตอรี่ใหม่เก่าไม่สำคัญ ชาร์จ 8 ชั่วโมง 12-14 ชั่วโมง 16 ชั่วโมง ถือว่าเป็นเรื่องเก่าและเชยมาก เมื่อชาร์จเต็มแล้วก็พอ เอาที่ชาร์จออกได้เลย เพราะเมื่อชาร์จเต็มแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียบที่ชาร์จทิ้งไว้ เพราะระบบในตัวเครื่องทำการตัดระบบการประจุไฟให้แบตฯแล้ว สิ่งที่เกิดคือ เปลีองไฟจากการเสียบตัวชาร์จคาไว้เปล่าๆ บางคนยังบอกถึงมันเต็มมันก็ยังประจุไฟอยู่ (เอาเข้าไป) อยากท่านนึกถึงปั๊มน้ำที่ต่ออยู่กับแท็งค์น้ำตามบ้าน แบบเดียวกันแหละครับ ตัดก็คือตัด ไม่มีไหลเอื่อยเติมไปอีกเรื่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการชาร์จแบตฯไปใช้ไป เพราะจะเสียรอบในการชาร์จโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับที่ยกตัวปั๊มน้ำข้างบนนั่นแหละ หากท่านนำไปเสียบชาร์จ นับเป็น 1 รอบ หากมีการใช้งานในขณะชาร์จ ระบบอาจจะทำการตัดการชาร์จ พอวางสายก็กลับมาชาร์จใหม่ นับ 2 กรณีนี้ก้เคยมีปัญหาจนงงกันมาเยอะแล้ว คือ ผู้ใช้ใช้ไปได้2-3 เดือนนำไปเคลมบอกว่าแบตหมดไว ช่างตรวจแล้วก็พบว่าแบตเสื่อมจริง เปลี่ยนก้อนใหม่ให้ จากนั้นไม่นานก็นำไปซ่อมอาการเดิมอีก ช่างเช็คประวัติเห็นว่าเคยเปลี่ยนแบตแล้วก็เข้าใจว่าอาการเสียน่าจะมาจากเครื่องกินแบตฯ ก็ตรวจซ่อม เปลี่ยนอุปกรณ์ แผงวงจร แล้วให้ลูกค้ากลับไป จากนั้นลูกค้าก็กลับมาอีกอาการเดิม ช่างปวดหัวตึ๊บ เจ้าของร้านก็มึน เพราะรอบหลังนี้มันเลยระยะประกัน 6 เดือนไปแล้ว ย่างเดือน7เดือน8 ไปแล้ว ก็เกิดการโต้เถียงกัน ลูกค้าก็จะบอกว่า เครื่องไม่ดี ซ่อมไม่ดี บริการไม่ดี ถ้าเป็นร้านตู้ลูกค้าก็จะไม่ค่อยโวยวายมาก(สงสัยจะกลัว) ถ้าเป็นร้านใหญ่ๆ หรือพวกศูนย์บริการของบริษัท รับรองว่าไม่เหลือ สุดท้ายก็ต้องดำเนินการไม่เก็บค่าใช้จ่ายแต่อาจจะสำทับว่า ครั้งนี้ทำให้รอบสุดท้ายแล้วนะ คราวหน้าเสียตังค์ อะไรทำนองนี้ แต่ไม่ทันได้คิดถึงต้นเหตุที่แท้จริงซึ่งอาจเกิดของผู้ใช้เอง แค่ถามและแนะนำสักนิดก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว โดยไม่ต้องไปบอกว่าใครผิด แค่บอกง่ายว่าหลังจากที่ตรวจพบว่าแบตเสียจริงในครั้งแรกแล้วเปลี่ยนแบตใหม่ให้ "คุณพี่คะ/ครับ ถ้าคุณพี่ชาร์จแบตเต็มแล้วก็ดึงที่ชาร์จออกได้เลยนะคะ อย่าเสียบคาไว้ จะทำให้แบตเสื่อมไวได้ " อย่าไปคะยั้นคะยอถามนะครับว่า ทำอย่างนู้น ทำอย่างนี้ มาหรือเปล่า จะทะเลาะกันเสียเปล่าๆและคงไม่ได้ข้อเท็จจริงด้วย หรือบางคนเล่นปรักปรำ เช่น ไปทำอย่างนั้นมาแน่ๆเลย เช่น เอาที่ชาร์จของไม่แท้มาชาร์จใช่ไหมแบตเลยเจ๊ง จะเสียเวลาทำมาหากินไปต่อปากต่อคำกัน
  • ผู้ใช้งาน ใช้ตามปกติให้เต็มที่ ไม่ต้องระวังเป็นพิเศษ ไม่ต้องมาท่องจำ เช่น ถ้าแบตชนิดนี้ต้องใช้ให้หมดเกลี้ยงก่อนแล้วค่อยชาร์จ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องซีเรียส ใช้ปกติเราแหละ ช่วงแรกๆยิ่งต้องใช้ให้เต็มที่ อย่ากลัว อย่าถนอมจนเกินเหตุ อย่าลืมว่าคุณมีประกันอยู่(สินค้ายี่ห้อที่ติดตลาด) ทุกอย่าง6เดือน ยกเว้นตัวเครื่อง 1ปี มีปัญหาก็ส่งซ่อม อุปกรณ์พวกนี้เสียได้ครับ อย่าไปยึดติดว่ามันเสียไม่ได้ เครื่องคอมฯตั้งอยู่กับที่ไม่ได้ยกไปไหน บางทีไม่ค่อยได้ใช้เลย ยังเสียได้ นับประสาอะไรกับมือถือ พกไปไหนมาไหน กดนุู่น กดนี่ กระแทกนู่นบ้าง นี่บ้าง ก็มีโอกาสเสียได้เหมือนกัน
  • อย่าชาร์จแบตฯขณะที่ตัวเครื่องหรือแบตฯมีอุณหภูมิสูง เพราะจะชาร์จไฟไม่เข้า เช่น วางไว้หน้ารถแล้วนำมาชาร์จทันที ควรทิ้งไว้ให้กลับสู่อุณหภูมิปกติก่อนค่อยชาร์จ เนื่องจากการชาร์จแบตฯใช้ระบบตรวจสอบอุณหภูมิ เมื่อแบตฯเต็มหรือชาร์จไม่เข้าแล้วจะเกิดอุณหภูมิสูงขึ้น ถึงจุดหนึ่งระบบตรวจสอบจะทำการตัดการชาร์จออก
หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยครับ


Mobile Phone Series - Mobile Phone กับ โทรศัพท์มือถือ

ได้เคยคุยกับชาวต่างชาติเรื่องเกี่ยวกับมือถือ ทำให้เกิดอาการ"งง"อยู่พักนึงก่อนจะเข้าใจ เพราะบางแห่งเขาก็เรียก Hand Phone บางแห่งก็เรียก Mobile Phone บ้านเราจะชินคำว่า Mobile Phone มากกว่า เวลาไปคุยกับเขา(ภาษาปะกิดเราก็แข็งแรงซะด้วยสิ คุยทีเมื่อยมือที) เขาออกเสียงด้วยสำเนียงจีนๆว่า แฮงฟง กว่าจะรู้ว่าหมายถึง Hand Phone หรือ Mobile Phone บ้านเรา ก็คุยกันอีกสักพักถึงจะบางอ้อ
เลยรู้สึกแปลก ที่บ้านเรา เรียกกันว่า มือถือ ในภาษาไทย แต่ คำว่า Mobile ในภาษาอังกฤษ
จริงๆแล้วก็เรียกโทรศัพท์เคลื่อนที่กันแต่แรกนั่นแหละ แต่ไม่ติดปากเท่า มือถือ ที่ร้านตู้ทั่วๆไปชอบเรียกขาน
บางคนก็ออกแนวอินเตอร์หน่อยก็มักจะเรียกว่า ร้านโมบาย หรือ Mobile Shop ซึ่งถ้าเป็นชาวต่างชาติจะเข้าใจได้ว่า เป็นร้านเคลื่อนที่ (Mobile=เคลื่อนที่ Shop=ร้าน) อย่าลืมนะครับว่าบรรดาของประดับที่แขวนแล้วปลิวไปมาได้ก็ใช้คำว่าโมบาย เรียกเหมือนกัน ควรจะมีคำว่า Phone ไปด้วยครับจะได้รู้ว่าเป็นโทรศัพท์ ยาวหน่อยแต่ดูมีความถูกต้องกว่า
ไม่รู้จะบ่นไปทำไม เรียกอะไร ก็ให้เข้าตรงกันก็พอ
ทำให้ผมนึกถึง เวลาไปซื้อ อุปกรณ์บันทึกข้อมูล บางร้านก็เรียกต่างกัน ที่นิยมก็มี 3 แบบ
  • Flash Drive    - Drive ที่บันทึกข้อมูลได้รวดเร็วมาก
  • Handy Drive  - Drive ที่พกพาได้
  • Thumb Drive - Drive ขนาดเท่าหัวแม่มือ
อันนี้แปลแบบชาวบ้านนะครับ ความหมายก็คือ สินค้าเดียวกัน ที่บางคนเรียก แฟ็ดได๊,แฮนดี้ได๊,ตั๊มได๊ นั่นแล

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ตัดสินใจ"เปลี่ยน"

  หลังจากที่ได้มีการประชุม พิจารณาแล้วว่าจะมีการเปลี่ยนไปใช้โปรแกรมที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ในที่นี้ผมจะเน้นไปที่โปรแกรมสำนักงานเอกสารอย่าง Microsoft Office เป็นหลักนะครับ เพราะทุกแห่งต้องมีต้องใช้ทำเอกสารทั้งสิ้น
  อย่าคิดนะครับว่าการเปลี่ยนโดนคำสั่ง บังคับเพียงอย่างเดียวจะได้ผลดี บางครั้งก็ต้องเข้าใจผู้ใช้งานด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีทีมงานที่จะดูแลการ "เปลี่ยน" นี้อย่างชัดเจนและไม่ควรไปฝากหรือว่าถือว่าเป็นภาระของหน่วยงานระบบสารสนเทศ(IT)แต่เพียงฝ่ายเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นรับรองได้ว่าความสำเร็จในการ "เปลี่ยน"ได้ถอยห่างไกลออกไปอย่างน่าเสียดาย
 ทีมงานที่ดูแลการ "เปลี่ยน" นี้ ควรประกอบไปด้วย
  • ตัวแทนจากผู้บริหาร
  • ตัวแทนจากระบบสารสนเทศ(IT)
  • หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ
  • ผู้ที่ใช้งานโปรแกรม Microsoft Office ระดับผู้ชำนาญ(ประมาณว่าพวกใช้เก่งๆ ใครๆก็ชอบมาถาม)
  • ตัวแทนของผู้ใช้งานทั่วไป ใช้เป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง ไม่เป็นไร
  • ผู้ติดตามดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการใช้งานโปรแกรม(ไม่จำเป็นต้องสังกัด IT หรือ เก่ง ขอให้มีใจอยากช่วยเหลือและบริการผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนก็พอ)
หรือ บริษัทอาจจะว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษามาดำเนินการเรื่องนี้ (ผมจะข้ามประเด็นนี้ไปครับ เอาเป็นว่าจะทำเองในบริษัทก็แล้วกัน)

  สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ท่านจะพบในขณะที่ทำการเปลี่ยนในครั้งนี้มีมากมาย ซึ่งไม่ควรมองข้าม เช่น
  • กลุ่มผู้ที่เห็นด้วย สนับสนุน ผลักดัน การ เปลี่ยน นี้
  • กลุ่มผู้ที่เห็นด้วย ยินยอมดำเนินการตามนโยบาย
  • กลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วย แต่ยินยอมดำเนินการหากมีการบังคับ
  • กลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วย และพยายามหาข้อโต้แย้ง ข้อผิดพลาดของโปรแกรมใหม่ ไม่อยากใช้
  • กลุ่มผู้ที่ทำอย่างไรก็ได้ ให้ได้ใช้ของเดิม
  • กลุ่มผู้ที่อะไรก็ได้ ตามกระแสส่วนใหญ่
 อย่าลืมนะครับ ว่าท่านไม่ได้กำลังจะเปลี่ยนการใช้"โปรแกรม" แต่ท่านกำลังจะเปลี่ยน "ใจ" เขา ให้พลัดพรากจะสิ่งที่เขารู้จัก คุ้ยเคย จนกระทั่งเรียกว่า "รัก" ก็คงได้ ลองคิดดูนะครับ คนทำงานใช้โปรแกรมMicrosoft Officeวันละกี่ชั่วโมง โปรแกรมนี้มีมากี่ปีแล้ว เอาที่เป็นที่รู้จักกว้างขวางหน่อยไม่ต่ำกว่าปี ค.ศ.1995 (Office 95) ปัจจุบัน 2011 ไม่ต่ำกว่า 16 ปี 
  ท่านคิดว่าจะบังคับหรือเปลี่ยนใจให้คนทำงานเลิกรัก เลิกใช้ สิ่งที่เคยใช้ มาในเวลาเป็นสิบๆปี ด้วยคำสั่ง การบังคับ ในเวลาช่วงสั้นๆอย่างนั้นหรือ? ถ้าเป็นอย่างเหนื่อยแน่ครับ

เปลี่ยนดีไหม

   การที่บริษัท ห้างร้านต่างๆ ตัดสินใจจะเปลี่ยนจากการใช้โปรแกรมที่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ไปเป็นโปรแกรมที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์นั้น หลักๆเลยก็เพื่อหลีกเลี่ยง ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่บริษัทเนื่องจากการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่าย(ค่าปรับ+บังคับซื้อLicense เมื่อมีการตรวจพบ) และที่สำคัญคือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงบริษัทอันจะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจทางการค้าด้วย
  อันที่จริงจะว่าไปแล้ว หากไม่มีการตรวจจับอย่างจริงจังก็คงไม่มีใครคิดจะเปลี่ยนแน่นอน ทีนี้ก็ต้องมามองย้อนละครับว่า คุ้มกับที่เราจะเปลี่ยนหรือไม่ ต่อไปนี้เป็นปัญหาและคำถามที่ท่านจะต้องเจอเมื่อคิดจะ "เปลี่ยน"

  ของเดิม ข้อดี
  • คุ้นเคย ใช้มานาน
  • ใช้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
  • ใครๆก็ใช้กัน ใครๆก็รู้จัก
  • ไม่มีปัญหา ไฟล์ไหน ใครส่งมา ส่งให้ใครเปิดได้หมด
  • หาตำรา อาจารย์ผู้สอนง่าย
  • ดีอยู่แล้ว ดีทุกอย่าง ดีที่สุด (ไม่เข้าใจ จะเปลี่ยนทำไม สงสัยบริษัทไม่ค่อยมีตังค์แล้ว)
 ของเดิม ข้อเสีย
  • มีข้อเดียว เสียตังค์ (ไม่เสียตังค์ ใช้ไปแล้ว)
ของใหม่ ข้อดี
  • มีข้อเดียว ไม่เสียตังค์
ของใหม่ ข้อเสีย
  • ไม่คุ้นเคย ไม่เคยรู้จัก
  • ใช้ง่ายยาก ซับซ้อน เสียเวลาทำงาน
  • ไม่มีใครใช้กันไม่เป็นที่นิยม
  • มีปัญหาเยอะ เปิดได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จัดหน้าไปแล้วเปิดด้วยโปรแกรมนี้ เพี้ยนไปหมด
  • หาตำรา อาจารย์ผู้สอนยาก
  • สรุป เสียทุกอย่าง หนำซ้ำ ยังโดนบังคับใช้ด้วย
คราวหน้าจะได้มาวิพากษ์กันต่อครับ 

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชุดโปรแกรมสำนักงาน

    ทุกสำนักงานที่ใช้คอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีโปรแกรมจัดการเอกสารต่างๆ เรียกว่าขาดกันไม่ได้เลยทีเดียว ที่รู้จักกันแทบทุกครัวเรือนก็คงไม่พ้น Micrososoft Office ซึ่งต้องเสียเงินค่า License บางแห่งก็เริ่มมาสนใจ OpenOffice , LibreOffice เพราะไม่ต้องเสียค่า License
    ชุดโปรแกรมสำนักงานมีหลายโปรแกรมประกอบกัน แต่ขอยกที่ใช้กันมากมาพูดถึง 3 ตัว
    โปรแกรมประเภท Text Document ที่หลายคนใช้เป็น โปรแกรมพิมพ์งานเอกสาร (ซึ่งที่จริงทำได้มากกว่าพิมพ์งานอย่างเดียว) ได้แก่ Word , Writer
    โปรแกรมประเภท Spread Sheet เป็นโปรแกรมสร้าง/จัดการ ตารางคำนวณ ได้แก่ Excel , Calc
    โปรแกรมประเภท Presentation เป็นโปรแกรมสร้างงานนำเสนอ ได้แก่ PowerPoint , Impress
  

Microsoft Office
OpenOffice.org
LibreOffice
Text Document
Word
Writer
Writer
Spreadsheet
Excel
Calc
Calc
Presentation
PowerPoint
Impress
Impress



วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ในสำนักงาน

         ช่วง 2-3 ปีหลังมานี่ ความเข้มข้นทั้งในแง่ของกฎหมายและเรื่องของการตรวจสอบลิขสิทธิ์ซอฟแวร์ตามบริษัท ห้างร้าน ต่างๆมีมากขึ้น จนทำให้หลายๆบริษัทต้องหันมามองในเรื่องของ ซอฟแวร์ทดแทน         
     License หมายถึง สิทธิการใช้งานซอฟต์แวร์ ที่หลายๆคนเรียกเป็น ลายเส้น (ส่วนใหญ่ก็ต้องเสียตังค์อยู่แล้ว)
     Commercial Software แน่นอนว่าเสียตังค์ชัวร์ เหมือนไปสั่งซื้อก๋วยเตี๋ยวแหละ อยากกินต้องจ่ายตังค์
     Freeware (Free Software) คงพอเดาออกว่าไม่เสียตังค์ ใช้ฟรีแต่อาจมีเงื่อนไขบางอย่าง เช่น Non-Commercial Freeware แปลว่า ใช้ได้ฟรีถ้าไม่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เหมือนกับแจกก๋วยเตี๋ยวให้กินฟรีแต่ห้ามเอาไปแจกหรือขายต่อ กินเองได้เท่านั้น
    Open Source Software นอกจากจะใช้ฟรีแล้วยังเปิดเผยโค้ดให้นักพัฒนานำไปปรับปรุงได้ด้วย เฉกเช่น แจกก๋วยเตี๋ยวให้กินฟรี แล้วยังบอกสูตรและส่วนผสมต่างๆให้ด้วย สามารถนำไปปรุงกินเองหรือปรับแต่งรสชาติได้ตามต้องการ
     ทุกตัวมีลิขสิทธิ์หมดนะครับ ไม่ใช่ว่าจะเป็น Open Source แล้วจะไม่มีลิขสิทธิ์ แต่จะเป็น GNU/GPL ซึ่งไม่เสียค่าลิขสิทธิ์ในการใช้ ดังนั้นการที่บอกว่าจะเปลี่ยนจาก ซอฟแวร์ที่มีลิขสิทธิ์ ไปใช้ ซอฟแวร์ที่ไม่มีลิขสิทธิ์ จึงไม่ถูกต้อง ที่จริงควรจะเรียกว่าเป็น ซอฟแวร์ที่ไม่เสียค่าลิขสิทธิ์ น่าจะถูกต้องกว่า
     โอกาสหน้าจะได้พูดถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ในสำนักงานกันต่อครับ